ในช่วงเวลา3ปีแห่งความเปลี่ยนแปลงหลายคนสงสัยว่าบทบาทของท่านผู้หญิงในราชสำนักจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้เมื่ออดีตไม่ได้ถูกกลมแต่ถูกเขียนขึ้นใหม่ด้วยพลังเงียบและการกลับมาครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญในหน้าประวัติศาสตร์ไทยที่เรียงร้อยด้วยพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์สานุวงศ์ระดับสูงมีเพียงไม่กี่บรรทัดที่เอ่ยถึงผู้หญิงในเงาบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหลังฉากหลวงผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญแต่กลับไม่ถูกรับรู้ในนามหรือ
ยศศักดิ์ที่ปรากฏชัดผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้เป็นพระราชินีไม่ได้ดำรงพระอิสริยยศสูงสุดแต่พวกเธอเป็นพลังเงียบที่เปลี่ยนทิศทางของเหตุการณ์ในราชสำนักไทยครั้งแล้วครั้งเล่าบางคนคือเจ้าจอมที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยบางคนเป็นหม่อมเจ้าผู้ถูกกลมบางคนคือผู้เคียงข้างกษัตริย์ในยามวิกฤตแต่ไม่เคยเคยปรากฏน้ำในหน้าตำราการมีอยู่ของพวกเธอทำให้เกิดคำถามว่าใครคือผู้เขียนประวัติศาสตร์และเพราะเหตุใดจึงมีเพียงบางชื่อที่ถูกรับรองขณะที่อีกหลายชีวิต
กลับถูกกรดบทบาทให้กลายเป็นเพียงเงาในยุคปัจจุบันการกลับมาปรากฏตัวของเจ้าคุณพระศินีนาฏตะพิราฎกัลยาณีกลายเป็นกระจกสะท้อนภาพเดิมอีกครั้งเธอไม่ใช่พระมเหสีแต่ก็ไม่ได้เป็นเพียงสตรีตรีสามัญการเคลื่อนไหวของเธอหรือแม้แต่ความนิ่งเฉยล้วนมีนัยยะที่สะท้อนถึงระบบราชสำนักไทยในศตวรรษที่21เจ้าคุณพระศินีน่าจะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในปี2562และถูกถอดถอนในเวลาไม่นานจากนั้นก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษและการฟื้นฟูพระอิสริยยศ
ในปี2563นับแต่นั้นเป็นต้นมาเธอปรากฏตัวในพิธีการสำคัญต่างโดยไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมไม่มีถ้อยแถลงจากราชสำนักไม่มีการประกาศผ่านราชกิจจานุเบกษาฉบับใหม่สิ่งที่น่าสนใจคือการกลับมาของเธอไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการประกาศชัยชนะแต่เป็นการยืนยันความมีอยู่ด้วยวิธีที่สงบนิ่งและมั่นคงยิ่งกว่าถ้อยคำในวัฒนธรรมราชสำนักไทยการไม่พูดอาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการพูดการไม่อธิบายคือการส่งสัญญาณและการเงียบก็อาจเป็นการท้าทายที่หนักแน่นที่สุดนี่คือเหตุผลที่
เรื่องราวของเจ้าคุณพระศินีนาฏไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของบุคคลหนึ่งแต่คือการกลับมาของสัญลักษณ์เก่าในรูปแบบใหม่เธออาจไม่ได้พูดถึงอดีตแต่ทุกการปรากฏตัวของเธอกำลังเขียนประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในเงาและเมื่อเราหันกลับไปมองผู้หญิงในเงาต่างๆที่เคยมีอยู่ในราชสำนักไม่ว่าจะเป็นเจ้าจอมหม่อมเจ้าหญิงหรือพระวรชายยาเราจะพบว่าพวกเธอล้วนมีบางอย่างที่คล้ายกันคือการดำรงอยู่ท่ามกลางโครงสร้างที่ไม่ได้เปิดรับเสียงของพวกเธอคำถามคือวันนี้
เสียงของเจ้าคุณพระศินีน่าจะถูกฟังหรือไม่และเราพร้อมหรือยังที่จะอ่านประวัติศาสตร์จากแสงที่สะท้อนจากเงามากกว่าเพียงแสงที่ส่องตรงในประวัติศาสตร์ราชสำนักไทยผู้หญิงที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งพระมเหสีมรรคถูกระบุเพียงผ่านชื่อเล็กน้อยในเอกสารหรือไม่ถูกเอ่ยถึงเลยในแหล่งข้อมูลหลักนี่มิใช่เพราะพวกเธอไม่มีบทบาทหากแต่เพราะโครงสร้างทางอำนาจและธรรมเนียมแห่งราชสำนักได้วางเส้นบางๆระหว่างการมีอยู่และการปรากฏย้อนกลับไปในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นถึงแม้จะมีพระ
อัครมเหสีพระมเหสีและเจ้าจอมมากมายที่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคคนละบาทแต่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างละเอียดบางคนเป็นเจ้าจอมที่ถวายงานเคียงข้างพระมหากษัตริย์ในยามวิกฤตบางคนเป็นพระวรชายาที่เลี้ยงดูพระราชโอรสอย่างไม่เป็นทางการบางคนมีอิทธิพลในการเจรจาทางการเมืองในระดับที่ประวัติศาสตร์ไม่กล้าจารึกตัวอย่างที่ชัดเจนคือเจ้าจอมมารดาโหมดในรัชกาลที่5ผู้ให้กำเนิดสมเด็จพระศรีพัตรินทาบรมราชินีนาถแม้เธอจะเป็นมารดาของพระราชินีแต่กลับไม่
มีพระยศสูงไปกว่าเจ้าจอมเพราะสถานะเดิมของเธอในขณะถวายตัวยังมีได้เป็นหม่อมเจ้าหรือเชื้อพระวงศ์และถึงแม้จะเป็นที่โปรดปรานและให้กำเนิดราชโอรสธิดาหลายพระองค์เธอก็ยังถูกจารึกไว้เพียงเล็กน้อยในเอกสารทางการหรืออย่างหม่อมเจ้าหญิงพันทิภาเทวกุลผู้เคยใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ในยุคหนึ่งแม้จะมีพระชาติกำเนิดสูงมีความรู้ความสามารถแต่เธอกลับถูกผลักออกจากสายตาสาธารณะเมื่อไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของราชสำนักในเวลานั้นสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ
บุคคลแต่สะท้อนถึงโครงสร้างของราชสำนักที่มิได้เอื้อให้ทุกบทบาทของผู้หญิงปรากฏบนหน้ากระดาษอย่างเสมอภาคการเป็นผู้หญิงในเงาจึงไม่ใช่ความล้มเหลวหรือได้ ่าแต่คือการมีอยู่ในรูปแบบที่ประวัติศาสตร์ไม่รู้จะจัดวางไว้ตรงไหนเป็นการดำรงอยู่นอกกรอบการบันทึกที่เป็นทางการเป็นเสียงที่ดังก้องในพื้นที่ที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้ฟังหากประวัติศาสตร์คือการเลือกจารึกสิ่งที่ควรถูกจารึกผู้หญิงเหล่านี้ก็คือคำถามที่ยังไม่มีใครตอบว่าเหตุใดพวกเธอจึงไม่
ถูกรวมอยู่ในความทรงจำของชาติอย่างเป็นทางการในบริบทนี้เจ้าคุณพระศินีนาฏตะพิราฎกัลยาีก็อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสการเปลี่ยนผ่านที่อาจเขียนประวัติศาสตร์ในรูปแบบใหม่แบบที่ไม่ต้องใช้พระยศสูงสุดแต่ใช้การดำรงอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านพิธีการภาพถ่ายและการไม่หายไปจากความสนใจของประชาชนเมื่อเรานำสายตาย้อนกลับไปดูเจ้าจอมหรือหม่อมเจ้าหญิงในอดีตแล้วหันมามองเจ้าคุณพระในปัจจุบันเราอาจเริ่มเข้าใจว่าผู้หญิงในเงาเหล่านี้
ไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ว่างเปล่าพวกเธอยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อให้เรามองย้อนกลับไปและตั้งคำถามใหม่กับสิ่งที่เราเคยคิดว่าเข้าใจดีแล้วเกี่ยวกับวังหลวงเจ้าคุณพระศินีนาฏะพิราชกัลยาณีอาจดูแตกต่างจากผู้หญิงในเงาของราชสำนักในอดีตเธอได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการมีชื่อในราชกิจจานุเบกษาและมีภาพถ่ายที่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะอย่างกว้างขวางแต่ในความเป็นจริงบทบาทของเธอกลับถูกกำหนดอยู่ในพื้นที่ที่คล้ายคลึงกับสตรีที่ถูกลืมเหล่านั้นหลังจากการ
แต่งตั้งในปี25002เจ้าคุณพระได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในงานพระราชพิธีหลายครั้งมีการเผยแพร่ชีวประวัติอย่างเป็นทางการพร้อมภาพลักษณ์ของสตรีผู้เปลี่ยมด้วยความสามารถทั้งด้านการแพทย์การทหารและการถวายงานอย่างใกล้ชิดเบื้องพระยุคนละบาทพระอิริยาบถของเธอในภาพเหล่านั้นไม่ได้แสดงเพียงความสง่างามหากแต่สะท้อนถึงความพร้อมและความจงรักภักดีที่เกินกว่าบทบาทของสตรีทั่วไปในราชสำนักแต่เพียงไม่กี่เดือนต่อมาทุกสิ่งทุกอย่างกลับถูกลบเลือนลงอย่างรวดเร็วเมื่อ
มีพระราชโองการถอดถอนตำแหน่งและสิทธิ์ทั้งหมดของเธอพร้อมถ้อยคำรุนแรงในราชกิจจานุเบกษาที่กล่าวหาว่าเธอไม่เคารพพระราชอำนาจและไม่รักษาวินัยในราชการเธอหายไปจากพื้นที่สื่ออย่างสิ้นเชิงราวกับไม่เคยมีตัวตนชื่อของเธอถูกกลบออกจากเว็บไซต์ราชการไม่มีคำชี้แจงแงไม่มีคำแก้ต่างและไม่มีเสียงใดจากเธอเลยแต่แล้วในปี2563เธอก็กลับมาอีกครั้งโดยไม่มีคำประกาศไม่มีพิธีการไม่มีคำชี้แจงใดๆทั้งสิ้นการกลับมาของเธอเกิดขึ้นผ่านภาพถ่ายจากงาน
พระราชพิธีภาพที่เธอยืนอยู่ในตำแหน่งอันคุ้นตาสวมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามศิษย์เดิมร่วมขบวนพยูยาทราและปฏิบัติภารกิจในฐานะเจ้าคุณพระราวกลับไม่มีสิ่งใดเคยเกิดขึ้นการกลับมาอย่างเงียบงันนี้เองที่ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามอีกครั้งเธอกลับมาได้อย่างไรใครเป็นผู้ตัดสินใจและบทบาทที่แท้จริงของเธอคืออะไรในขณะที่ราชสำนักไม่ได้ให้คำตอบใดๆการปรากฏตัวของเธอในแต่ละวาระจึงกลายเป็นถ้อยคำที่ไร้เสียงแต่กลับทรงพลังเธอยังคง
ไม่พูดแต่ทุกครั้งที่ยืนในพิธีทุกชุดที่เธอสวมทุกตำแหน่งที่เธอยืนกลับกลายเป็นภาษาของราชสำนักที่ต้องอาศัยการอ่านอย่างละเอียดอ่อนเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ถูกกลมแต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ถูกประกาศอย่างเต็มรูปแบบเธออยู่ในช่องว่างระหว่างการยอมรับและการปฏิเสธระหว่างการมีอยู่และการไม่ปรากฏและในช่องว่างนั้นเองเธอกลายเป็นตัวแทนของเงาที่ไม่ได้จางหายแต่ทับซ้อนลงบนราชสำนักไทยในยุคปัจจุบันอย่างนุ่มนวลแต่ยากจะลบเลือนในโลกของ
ราชสำนักไทยพิธีการไม่ได้เป็นเพียงความงามสง่าเชิงวัฒนธรรมหากแต่คือระบบของภาษาอันละเอียดอ่อนทุกตำแหน่งที่ยืนทุกสีของฉลองพระองค์ทุกการเว้นจังหวะของการเดินขบวนล้วนถูกออกแบบเพื่อสื่อสารข้อความบางอย่างโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดเจ้าคุณทัศินีนาฏตะพิราฎกัลยาณีปรากฏตัวในพื้นที่นี้ด้วยความเงียบแต่ทรงพลังไม่พูดไม่ให้สัมภาษณ์ไม่ตอบโต้สิ่งใดในสืบแต่การปรากฏตัวของเธอในพิธีการหลวงต่างๆคือเสียงแบบใหม่ในราชสำนักเสียงที่ไม่ได้ออก
จากริมฝีปากแต่ดังก้องในใจผู้คนการยืนในจุดที่ปรากฏชัดในกล้องโทรทัศน์การเคลื่อนไหวที่สงบเสงี่ยงการเลือกฉลองพระองค์ที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงการปรากฏกายหากแต่เป็นการแสดงบทบาทในโครงสร้างอำนาจของวังอย่างชัดเจนในบางพิธีเธอยืนในตำแหน่งหลังพระบรมวงศ์สานุวงศ์ชั้นสูงแต่ในบางโอกาสเธออยู่ถัดจากพระบรมวงศ์ฝ่ายหน้าที่มีบทบาทสำคัญสิ่งเหล่านี้ไม่อาจเกิดขึ้นโดยปราศจากการจัดวางอย่างมีในสำคัญจากราชสำนักและนั่นทำให้เรากลับมาสู่คำถาม
เดิมแต่ลึกยิ่งขึ้นหากเธอยังอยู่ในพิธีการหากเธอยังได้รับสิทธิ์ตามตำแหน่งเจ้าคุณผลาไม่มีใครในราชสำนักประกาศว่าเธอหมดแล้วงั้นบทบาทของเธอคืออะไรในปัจจุบันคำตอบนั้นไม่ได้อยู่ในเอกสารราชการแต่อาจซ่อนอยู่ในระบบพิธีที่ซ้อนซ่อนทางการเมืองบางอย่างไว้เงียบๆและนั่นคือสิ่งที่ทำให้เจ้าคุณพระศินีนาฏตะแตกต่างจากสตรีในเงาของวังในอดีตเธอไม่เพียงอยู่ในเงาแต่เงาของเธอกลับส่งผลกระทบต่อแสงที่ส่องมายังเวทีอำนาจผู้หญิง
ในเงาหลายคนในประวัติศาสตร์ไทยเคยปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆและหายไปโดยไม่มีคำลาแต่เจ้าคุณพระศินีนาฏะคือผู้หญิงในเงาที่ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ต้องใช้เสียงเพียงแต่เงานั้นกลับยิ่งชัดขึ้นทุกครั้งที่เธอเดินผ่านเลนกล้องและถ้าเรายอมรับว่าในราชสำนักไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญเราก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าไม่มีใครกลับมาโดยปราศจากเหตุผลเมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของราชสำนักไทยเราจะพบผู้หญิงมากมายที่มีบทบาทสำคัญแต่กลับไม่ถูกบันทึกไว้อย่างเด่น
ชัดพวกเธอเป็นเหมือนเส้นด้ายที่ถักทออยู่หลังฉากหลวงเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจสำคัญเป็นพลังที่ไม่มีตำแหน่งเป็นทางการแต่คงอยู่ในทุกจังหวะของประวัติศาสตร์เจ้าคุณพระศินีนาฏตินราชกัลยาณีกำลังเดินอยู่เหมือนเส้นทางเดียวกันแต่ในยุคที่ประชาชนจับตามองในยุคที่เงาไม่อาจซ่อนตัวได้ทั้งหมดในยุคที่การไม่พูดอาจกลายเป็นเสียงที่ทรงพลังที่สุดเธอไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสีแต่เธอปรากฏในพิธีที่สำคัญที่สุดเธอไม่มี
ราชกิจจนุเบกษาฉบับใหม่แต่เธออยู่ในภาพที่ประชาชนเห็นทุกปีเธอไม่ได้เอ่ยคำอธิบายแต่ทุกการยืนทุกการก้าวเดินกลับเป็นคำถามต่อระบบที่เงียบเช่นกันในสายตาของคนทั่วไปเธออาจเป็นเพียงเจ้าคุณพระผู้เคยถูกถอดถอนแล้วกลับมาแต่ในสายตาของประวัติศาสตร์เธอคือสตรีที่กำลังเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับผู้หญิงในเงาเรื่องราวของเธอคือบทเรียนว่าความเงียบอาจไม่ใช่การยอมจำนนแต่เป็นการเลือกที่จะมีอยู่ในแบบที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้
และเมื่อวันหนึ่งมีผู้เขียนประวัติศาสตร์ราชสำนักในศตวรรษที่21ชื่อของเธออาจยังไม่ปรากฏในหน้าแรกแต่เงาของเธอจะอยู่ในทุกบรรทัดในโลกของวังหลวงที่ทุกเสียงต้องได้รับอนุญาตผู้หญิงในเงาเช่นเธออาจไม่ได้เปล่งเสียงแต่กลับได้ยินมากกว่าทุกคนเรื่องราวทั้งหมดนี้ดำเนินเรื่องโดยแวงหรือแองChannelเราเชื่อว่าบางครั้งแสงไม่ได้อยู่ที่คนพูดเสียงดังแต่ซ่อนอยู่ในเงาที่เลือกจะไม่พูดเลยหากคุณเชื่อว่าเรื่องราวเช่นนี้สมควรถูกเกล้าอย่าลืมติด
ตามเราเพื่อไม่พลาดทุกมิติที่ไม่เคยถูกพูดถึงของราชสำนักไทยแมวแชนต่อเรื่องเล่าที่ไม่อยู่ในกระแสแต่เปลี่ยนมุมมองของคุณได้เสมอนะ
