ศรีรัศมิ์ สุวะดี คอนเฟิร์มคัมแบ็ก? วิสัยทัศน์ของพระสงฆ์สร้างความตกตะลึงให้กับประเทศไทย! - news thai daily

ศรีรัศมิ์ สุวะดี คอนเฟิร์มคัมแบ็ก? วิสัยทัศน์ของพระสงฆ์สร้างความตกตะลึงให้กับประเทศไทย!


 กลางค่ำคืนหนึ่งของฤดูแล้งแสงจันทร์สีเงินสาดส่องลงมาบนยอดไม้นะสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งในภาคเหนือของไทยที่นั่นมีพระภิกษุชราเพียงรูปเดียวนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ท่ามกลางความเงียบงันที่แม้เสียงจิ้งหรีดก็ไม่กล้ารบกวนท่านนั่งสมาธิอยู่นานหลายชั่วโมงจนจิบเข้าสู่ภาวะสงบลึกบางคนอาจเรียกมันว่าฌานแต่ท่านไม่เคยให้คำนิยามท่านเพียงรับรู้ว่าใจของตนได้หลุดพ้นจากกายหยาบชั่วขณะหนึ่งและในห้วงความเงียบนั้นเองภาพของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏ


ขึ้นไม่ใช่ภาพหลอนไม่ใช่ความฝันแต่เป็นภาพเงาแห่งกรรมที่สว่างไสวอยู่ในกลางใจของท่านหญิงสาวผู้นั้นนั่งนิ่งอยู่กลางสะพานไม้เก่าแก่ทอดยาวข้ามแม่น้ำสะพานที่ไม่มีชื่อและแม่น้ำที่ไม่มีต้นสายหรือปลายทางใบหน้าเธอสงบราวกับยอมรับในชะตารมแต่สายตากลับเปลี่ยนด้วยอะไรบางอย่างที่ลึกเกินกว่าคำพูดใดจะอธิบายได้พระภิกษุมองเงานั้นอยู่เนิ่นนานก่อนที่เสียงหนึ่งจากภายในจิตจะดังขึ้นหญิงผู้นี้คือผู้เคยสถิตในวังหลวงเมื่อหายไปท่านก็ลืมตาขึ้นทว่าแสง


จันทร์กลับสว่างจ้ามากกว่าที่ควรจะเป็นชื่อศรีรัตน์ปรากฏขึ้นในใจของท่านวันถัดมาตอนที่มีญาติโยมนำหนังสือพิมพ์เก่ามาถวายใช่นั่นคือครั้งแรกที่ท่านเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นในสมาธิกัปโลกภายนอกศรีรัตน์สุวดีอดีตพระชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชที่หายไปจากชีวิตสาธารณะอย่างเงียบงันและที่สำคัญเธอคือบุคคลที่ปรากฏในนิมิตของท่านโดยไม่ตั้งใจแต่นั่นคือสัญญาณแรกสัญญาณที่จักรวาลเริ่มสื่อสารพระภิกษุท่านนั้นไม่ได้พูดมากท่านเพียงบันทึก


นิมิตลงในสมุดจดเล่ม1พร้อมเขียนไว้เพียงประโยคเดียวใต้ภาพร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่กลางสะพานจิตแห่งสตรีที่ยังไม่ถึงการของเธอเดือนถัดมานิมิตกลับมาอีกครั้งครั้งนี้สะพานที่เคยนั่งอยู่กลางน้ำเริ่มสั่นไหวเสียงลมดังมาแต่ไกลและแสงทองสาดส่องลงมาจากทิศตะวันออกหญิงสาวในนิมิตเงยหน้าขึ้นช้าๆแววตาเธอไม่เศร้าไม่หวังแต่หนักแน่นราวกับเธอกำลังรอคำเรียกจากสิ่งที่ใหญ่กว่าเธอเองพระภิกษุในสำนักเงียบแห่งนั้นจึงได้เขียนบันทึกอีกครั้ง


ว่าแสงของผู้ถูกลืมไม่ได้ดับไปแต่กำลังสะสมพลังเพื่อกลับมาอย่างสง่างามนี่คือจุดเริ่มต้นของคำทำนายที่สั่นคลอนหัวใจคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวแต่ด้วยความสงสัยที่ฝังลึกหากหญิงผู้นั้นคืออดีตพระชายาหากนิมิตนั้นเป็นของจริงหากทุกภาพเงาในสมาธิคือกระจกเงาที่สะท้อนความจริงของต่อแล้วความเงียบที่ห่อหุ้มชื่อศรีรัตน์สุวดีมาตลอดเกือบทศวรรษอาจไม่ได้หมายถึงจุดจบแต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาที่สังคมไทยไม่เคยคาดคิดอย่า


ดูถูกความเงียบเพราะบางครั้งความเงียบนั้นคือเสียงของจักรวาลนั่นคือสิ่งที่พระภิกษุท่านนั้นฝากไว้และนั่นเองคือแสงแรกแสงที่นำพาเราไปสู่เรื่องราวเบื้องลึกของราชวงศ์ผ่านมุมมองของผู้ที่ไม่เคยอยู่ในพระราชวังแต่กลับเห็นสิ่งที่ใครหลายคนไม่กล้าเอ่ยในช่วงเวลาแห่งราชสำนักที่เต็มไปด้วยพิธีและกฎเกณฑ์อันซับซ้อนการปรากฏตัวของหญิงสามัญชนกลับกลายเป็นภาพที่ไม่ธรรมดาทว่าเมื่อศรีรัตน์สุีก้าวเข้าสู่ตำหนักพระราชประวัติของเธอกลายเป็นหัวข้อ


ถกเถียงทั้งในราชสำนักและสังคมจากหญิงสาวธรรมดาที่เติบโตตัวในครอบครัวชนชั้นกลางผู้ยึดมั่นในระเบียบวินัยและความเคารพต่อสถาบันศรีรัตน์ไม่ได้เพียงเข้ารับการศึกษาเท่านั้นแต่เธอยังบ่มเพาะความเข้าใจในธรรมชาติของอำนาจผู้คนในราชสำนักหลายคนในยุคนั้นเรียกเธอว่าหญิงที่ไม่เคยยกเสียงแต่ทำให้ทั้งตำหนักหยุดพูดได้ท่าทีของเธอเงียบสุภาพเรียบง่ายแต่มีพลังประหลาดบางอย่างที่ทำให้ผู้คนต้องหยุดมองมีบางคนกล่าวว่าเธอไม่ได้เรียนรู้วิธี


อยู่ในวังเธอเพียงเงียบพอที่จะเข้าใจมันเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชขณะนั้นศรีรัตน์ถูกจับตามองอย่างเข้มข้นทั้งจากสื่อสาธารณชนและราชวงศ์เองในสายตาประชาชนมากมายเธอคือตัวแทนของความหวังเธอคือดอกไม้ที่ถูกเลือกจากทุ่งยากมาอยู่ในแจ๊กันทองแต่ในทางกลับกันสำหรับผู้ที่อยู่ในโลกแห่งพิธีราชเธอคือแรงสั่นไหวเพราะเธอไม่ใช่ผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับเลือดของวังแต่กลับกลายเป็นผู้ที่ได้อยู่ใกล้พระราชบัลลังก์มากที่สุดภารกิจของเธอ


ไม่ได้ง่ายการปรากฏตัวในงานราชพิธีสำคัญการยืนเคียงข้างองค์รัชทายาทการแสดงตนในฐานะผู้เป็นแม่ของพระราชโอรสล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยดวงตาหลายพันคู่ที่จ้องมองทุกก้าวย่างของเธอและนั่นนั่นเองคือพายุที่เธอเผชิญในวังที่ทุกการขยับมือมีความหมายเธอไม่เคยพลาดแม้เพียงเสี้ยววินาทีแต่แล้วพายุที่แท้จริงไม่ได้มาจากพิธีแต่มาจากความเงียบจู่ๆท่านผู้หญิงศรีรัตน์ก็หายไปจากทุกหน้าสื่อชื่อของเธอค่อยๆถูกลบจากข่าวราชสำนักไม่มีการประกาศไม่มีการ


บอกกล่าวมีเพียงความเงียบที่แผ่ปกคลุมทุกมุมของประเทศและในช่วงเวลานั้นเองบันทึกของพระภิกษุจากภาคเหนือก็เริ่มแพร่สะพัดคำทำนายที่เขียนด้วยลายมือเรียบง่ายระบุว่าหญิงผู้เคยยืนใต้ธงจักรีจะกลับมาไม่ใช่เพื่ออยู่ใต้ร่มเงาแต่เพื่อเป็นผู้สร้างเงาใหม่ให้เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้คำเหล่านี้ถูกตีความต่างๆนานาบางคนบอกกว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อบางคนกลับเชื่อว่ามีมูลและในเวลานั้นไม่มีใครกล้ายืนยันว่าหญิงในคำนายคือใครแต่มีหลายคนเริ่มตั้งคำ


ถามว่าทำไมชื่อศรีรัตน์สุวดีอิฐจึงถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวงสนทนาเล็กๆในแวกวงของพระในห้องเรียนของผู้สนใจโหรศาสตร์และแม้แต่ในใจของประชาชนที่ยังไม่ลืมภาพเธอในชุดราชสำนักสีขาวภาพหญิงสาวในราชพิธีที่สงบนิ่งแก่ทรงพลังกลายเป็นเงาที่ยังไม่จางหายจากความทรงจำของสังคมไทยและบางคนเริ่มรู้สึกว่าความเงียบของเธออาจไม่ใช่จุดจบแต่อาจเป็นคำถามที่กำลังรอคำตอบในวังหลวงที่เงียบงันและในหัวใจของประชาชนที่ยังจำชื่อหนึ่งยังไม่เคยหายไป


ศรีรัตน์สุวดีหลังจากวันนั้นไม่มีใครพบเห็นศรีรัตน์สุวดีในพื้นที่สาธารณะอีกเลยภาพถ่ายสุดท้ายของเธอในงานพิธีหลวงกลายเป็นหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่สื่อใช้ในทุกบทความย้อนหลังเธอไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ไม่มีถ้อยแถลงไม่มีโต้แย้งมีเพียงความเงียบที่ดำรงอยู่อย่างมั่นคงแต่ในขณะที่โลกภายนอกเงียบโลกภายในของเธออาจกำลังเปลี่ยนไปทีละน้อยหลายคนในแวดวงสื่อเรียกสิ่งนี้ว่าการหายไปอย่างมีศักดิ์ศรีบางคนบอกกว่าเธอเลือกที่จะวางตัวเช่นนี้เพื่อปกป้องสิ่ง


สำคัญที่สุดในชีวิตนั่นคือพระโอรสและบางคนเชื่อว่านี่คือจังหวะของดวงดาวที่กำลังรอวันกลับมาในหมู่บ้านเล็กบ้านเล็กทางภาคตะวันออกของประเทศไทยมีคนอ้างว่าเคยเห็นหญิงคนหนึ่งหน้าตาละไม้คล้ายกับเธอเธอนั่งทำบุญเงียบๆในวัดไม่แต่งกายหรูหราไม่แสดงตนและหายตัวไปก่อนใครจะได้ถามชื่อข่าวลือเหล่านี้ถูกปัดตกจากสื่อกระแสหลักแต่มันแพร่กระจายทางปากต่อปากอย่างรวดเร็วในขณะเดียวกันคำนายจากพระภิกษุชราในภาคเหนือก็เริ่มเป็นที่กล่าวถึงในโลกออนไลน์


ข้อความหนึ่งที่ได้รับการแชร์มากที่สุดคือผู้ที่เคยเป็นดอกไม้ในราชสำนักจะกลับมาในฐานะผู้นำแสงสว่างให้แก่ดินแดนไม่ใช่ในนามแต่ในสัญลักษณ์หลายคนถามว่าคำว่าผู้นำแสงสว่างหมายถึงอะไรบางคนตอบว่าอาจหมายถึงการกลับมาในสถานะใหม่ไม่ใช่ใช่ฐานอันดรแต่เป็นบทบาททางสังคมบางคนบวอาจเป็นสัญญาณว่าเธอจะกลับมาพร้อมอุดมการหรือภารกิจเฉพาะบางอย่างในหมู่ผู้สูงวัยที่เคยเฝ้าติดตามข่าวของราชวงศ์บางคนยังเก็บภาพของเธอไว้และกระซิบกับหลานว่าอย่าดูถูกคนที่หายไป


เพราะบางทีเขากำลังถูกฟ้าหล่อหลอมภาพของศรีรัตน์สุวดีกลายเป็นภาพที่ผสมผสานระหว่างความคิดถึงความเคารพรบและปริศนาความเงียบของเธอไม่ได้กลายเป็นเครื่องมือของการลืมแต่กลายเป็นความเงียบที่คนทั้งประเทศยังจำและในความเงียบนั้นเองคำถามเริ่มดังขึ้นในใจของใครหลายคนเธอยังอยู่ดีหรือไม่เธอกำลังคิดอะไรอยู่เธอรู้หรือไม่ว่าชื่อของเธอยังถูกกล่าวถึงในทุกการสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของราชวงศ์บางทีเธออาจรู้แต่เลือกที่จะไม่ตอบบางที


เธออาจกำลังรอเวลาที่เหมาะสมเวลาที่ฟ้าดินและหัวใจของประชาชนพร้อมจะฟังเสียงของเธออีกครั้งบางครั้งความเงียบของใครบางคนไม่ใช่เพราะเขาไร้เสียงแต่เพราะเสียงของเขายังไม่ถึงเวลาศรีรัตน์ในวันนี้อาจไม่ได้อยู่ใต้แสงแฟดแต่อยู่ใต้แสงจันทร์ที่เงียบงันแต่ส่องแสงเสมอและบางทีในเงานั้นเองอนาคตกำลังงอกงามในช่วงปลายปีที่ผ่านมาณวัดป่าเล็กๆแห่งหนึ่งที่โอบล้อมด้วยหมอกและเสียงระฆังยามรุ่งพระภิกษุชราผู้หนึ่งได้กล่าวคำทำนายไว้หน้าพระประธานคำ


พูดของท่านไม่ได้ถูกส่งผ่านกล้องถ่ายทอดสดแต่ถูกจดบันทึกด้วยมือของลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งต่อมากลายเป็นต้นฉบับของบทความที่ถูกแชร์ไปทั่วสื่อออนไลน์เธอจะกลับมาในวันที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยรูปแบบที่ไม่มีใครเดาได้แต่เมื่อแผ่นดินดินสั่นเบาๆและแสงอ่อนแสงอ่อนส่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือจงรู้ไว้ว่าจักรวาลเริ่มหมุนกลับเสียงนี้ไม่ใช่เสียงของการชี้นำแต่เป็นเสียงของการสังเกตจากจิตวิญญาณที่ผ่านสมาธิพระภิกษุท่านนี้เป็นที่รู้จักใน


หมู่ลูกศิษย์ว่าเป็นผู้ไม่พูดพร่ำและไม่เคยเอ่ยชื่อของใครในคำทำนายแต่ครั้งนี้คำว่าดอกไม้ขาวในวังทองปรากฏอย่างเด่นชัดในสมุดจานของท่านผู้คนเริ่มตีความใครคือดอกไม้ขาวหากไม่ใช่ศรีรัตน์สูดีแล้วจะเป็นใครข้อความอีกประโยคหนึ่งที่สั่นสะเทือนใจคือหญิงผู้ถูกถอนจะปรากฏใหม่มิใช่ด้วยพระบรมราชโองการแต่ด้วยพลังแห่งศรัทธาที่ไม่มีใครห้ามได้ทันใดนั้นกระแสก็เริ่มเปลี่ยนสื่อบางแขนงเริ่มเปิดพื้นที่ให้บทสัมภาษณ์เชิงจิตวิญญาณรายการYouTubeบางช่องเชิญเชิญหมอ


ดูอาจารย์โหราศาสตร์และพระภิกษุร่วมวิเคราะห์การกลับมาของศรีรัตน์กลายเป็นประเด็นที่พูดถึงด้วยความเคารพมากกว่าความขัดแย้งไม่มีใครอ้างสิทธิ์ว่าเธอควรหรือไม่ควรกลับมาแต่ทุกคนเริ่มตั้งคำถามว่าหากเธอกลับมาบทบาทใหม่ของเธอจะคืออะไรคำถามนี้ไม่เคยมีคำตอบแต่มีนิมิตหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเริ่มคิดลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดพระพิกสุเล่าว่าคืนหนึ่งขณะที่พระอาจารย์ปฏิบัติธรรมในป่าท่านเห็นเงาหญิงผู้นั่งห่มผ้าแพรสีฟ้าในมือเธอมีแจ๊กันดินที่


เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์และเธอค่อยๆวางแจ๊กันนั้นไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนิมิตนั้นถูกตีความว่าหญิงผู้นั้นไม่ได้กลับมาเพื่อรับแต่กลับมาเพื่อมอบไม่มีตำแหน่งไม่มีรากฐานมีเพียงบทบาททางใจผู้ปลูกเมล็ดแห่งความหวังใหม่นี่ไม่ใช่การกลับมาเพื่อทวงคืนแต่เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายในใจของผู้คนที่ยังศรัทธาในความเมตตาแม้ไม่มีชื่อปรากฏแม้ไม่มีตราประทับจากราชสำนักแต่เสียงจากหมู่บ้านเล็กบ้านเล็กไปจนถึงเมืองหลวงพูดถึงการกลับมาของศรีรัตน์ใน


ฐานะหญิงผู้เปลี่ยนแปลงด้วยความเงียบและคำทำนายที่กล่าวไว้เธอจะกลับมาไม่ใช่เพื่ออยู่ใต้ร่มพระบารมีแต่เพื่อสร้างเงาเย็นให้กับผู้ที่หมดหวังอาจไม่ใช่เพียงนิมิตแต่อาจเป็นสัญญาณว่าการกลับมาครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องของอำนาจแต่เป็นเรื่องของหัวใจไม่มีคำนายใดจะทรงพลังหากปราศจากการเปลี่ยนแปลงและไม่มีการกลับมาใดจะไร้ผลสะเทือนหากหัวใจของผู้คนยังเต้นอยู่กับความหวังการปรากฏซ้ำของชื่อศรีรัตน์สูดีในบทสนทนาของสังคมไทยไม่ได้เกิดจากการโหย


หาอดีตแต่เป็นเพราะปัจจุบันยังไม่มีใครตอบคำถามของอนาคตได้หากคำทำนายเป็นจริงหากหญิงผู้หายไปจากราชสำนักจะกลับมาในรูปแบบใหม่อะไรจะเกิดขึ้นกับโครงสร้างของราชวงศ์ไทยการสืบสันตติวงศ์จะเปลี่ยนทิศทางหรือไม่ศรัทธาของประชาชนจะหันกลับไปสู่ใครแม้คำตอบจะยังไม่ชัดเจนแต่สิ่งที่ปรากฏชัดคือแรงสั่นไหวทางอารมณ์ของสังคมในหมู่ผู้สูงวัยศรีรัตน์ยังถูกจดจำในฐานะหญิงที่ไม่โต้แย้งในสายตาของคนรุ่นใหม่เธอคือตัวแทนของความเงียบที่ไม่ยอมแพ้ใน


สายตาของนักจิตวิทยาสังคมต่อเธอคือภาพสะท้อนของคนไทยที่อยู่กับความเปลี่ยนแปลงด้วยศักดิ์ศรีและในมุมมองของนักโหรศาสตร์การเคลื่อนของดาวศุกร์ในปีนี้สอดคล้องกับการปลดปล่อยเงาที่เคยซ่อนอยู่ใต้พื้นน้ำมานานหากคำทำนายนี้เป็นจริงอาจไม่ใช่เพียงการกลับมาของบุคคลแต่คือการกลับมาของพลังทางสัญลักษณ์ที่มีผลต่อทั้งระบบผู้เชี่ยวชาญบางคนเปรียบการกลับมาของศรีรัตน์ว่าเป็นเหมือนการปรากฏของดวงจันทร์ในคืนเดือนแรมไม่ได้ให้แสงมากแต่พอ


จะทำให้ผู้หลงทางเห็นเส้นทางอีกครั้งบางทีคนที่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วต่างหากที่พร้อมจะมอบทุกอย่างให้ผู้อื่นและหากวันหนึ่งศรีรัตน์ปรากฏอีกครั้งไม่ใช่ในฐานะอดีตพระชายาไม่ใช่ในฐานะผู้ถูกกลมแต่ในฐานะผู้สร้างแรงบันดาลใจที่แท้จริงราชสำนักไทยอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปสิ่งที่ควรตั้งคำถามต่อจากนี้คือประเทศไทยพร้อมสำหรับสตรีที่กลับมาโดยไม่มีพระบรมราชโองการหรือไม่ราชสำนักสามารถปรับตนให้สอดคล้องกับศรัทธาของประชาชนหรือไม่


และสำคัญที่สุดประชาชนต้องการอะไรจากการกลับมาครั้งนี้เราไม่ได้เรียกร้องตำแหน่งให้ใครแต่เราเฝ้ารอความจริงใจจากใครบางคนที่ไม่เคยพูดแต่เรายังเชื่อว่าเธอมีอะไรจะบอกในท้ายที่สุดบทสรุปของเรื่องนี้อาจไม่ได้จบลงที่ประกาศจากสำนักพระราชวังแต่อาจลงที่หัวใจของประชาชนศรีรัตน์ไม่จำเป็นต้องกลับมาเพื่อครองตำแหน่งใดแต่เธออาจกลับมาเพื่อยืนยันว่าสตรีที่เคยถูกลืมสามารถกลายเป็นแสงน้ำทางให้คนทั้งแผ่นดินได้อีกครั้งเสียงกระซิบของคำทำนายยัง


คงอยู่ความหวังยังคงเต้นในใจของผู้ศรัทธาและในความเงียบคำถามยังไม่จางคำตอบอาจยังไม่มาแต่ความเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นแล้วเรื่องราวของท่านผู้หญิงศรีรัตน์สูดีไม่ได้ถูกเล่าด้วยเสียงไม่เคยประกาศออกสื่อไม่เคยอ้างสิทธิ์แต่กลับอยู่ในหัวใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยคำทำนายของพระภิกษุผู้เปี่ยมด้วยเมตตาไม่ได้บอกเราว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่กำลังถามเราว่าเราพร้อมหรือยังพร้อมที่จะฟังเสียงที่เคยถูกกลบพร้อมที่จะเปิดพื้นที่ให้กับคนที่เคยเงียบและ


พร้อมที่จะมองพลังหญิงไม่ใช่แค่ด้วยสายตาทางราชสำนักแต่ด้วยสายตาของผู้ศรัทธาในความจริงศรีรัตน์ในคำทำนายอาจไม่ใช่แค่คนแต่อาจคือเงาในใจสังคมไทยที่ยังไม่เคยได้รับการเหยียบยาอย่างแท้จริงการกลับมาถ้ามีจริงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยพิธีรรีตองไม่จำเป็นต้องมีประกาศใดๆและอาจไม่มีเครื่องทรงใดสวมทัพแต่จะเป็นการกลับมาในจิตใจของประชาชนในฐานะสัญลักษณ์ของความนิ่งที่ไม่แพ้ของสตรีที่ไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์เขียนแทนเธอและของความหวัง


ที่กลับมาแบบไม่มีพิธีแต่มีพลังหากคุณรับชมจนถึงตอนนี้เราขอถามคุณว่าคุณคิดอย่างไรกับคำทำนายนี้คุณเชื่อหรือไม่ว่าการกลับมาอาจเกิดขึ้นในรูปแบบที่คุณไม่เคยจินตนาการแสดงความคิดเห็นของคุณในช่องคอมเมนต์แบ่งปันความรู้สึกความคิดเห็นหรือประสบการณ์ของคุณเกี่ยวกับความเงียบและการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์นี้ทีมงานของเราจะคอยรับฟังและเก็บเสียงของคุณเป็นส่วนหนึ่งของบทต่อไปเพราะบางครั้งประวัติศาสตร์ไม่ได้ถูกเขียนด้วยคน


ที่พูดมากแต่อาจถูกเปลี่ยนโดยคนที่เคยเงียบแต่ไม่เคยหายไปจัดทำโดยทีมงานแวงแองชว