กลางลานกว้างของพระราชพิธีท่ามกลางเครื่องแต่งกายที่ประดับเพชรพลอยวาวับและสีสันตระการตาศรีรัตปรากฏตัวด้วยชุดไหมสีอ่อนเรียบง่ายแต่กลับสะกดสายตาทุกคู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ความเงียบงามนี้ไม่ได้เกิดจากการปิดบังหากแต่เกิดจากการรู้จักพลังของความพอดีรู้ว่าชุดที่สวมไม่จำเป็นต้องประกาศตนแต่ให้มันเป็นเพียงฉากหลังที่ขับเน้นจิตใจและบุคลิกภาพให้เด่นชัดว่ากันว่าช่วงแรกที่พระมหาวชิราลงกรณ์นได้พบเธอสิ่งที่ทำให้พระองค์สนใจไม่ใช่
เพียงความงามของใบนาคแต่คือพลังบางอย่างที่อยู่ในวิธีที่เธอสวมชุดเรียบง่ายแล้วกลับทำให้ทุกคนรอบข้างรู้สึกอบอุ่นและสบายใจในโลกของราชสำนักที่มักมีระยะห่างเธอกลับนำความใกล้ชิดอย่างเป็นธรรมชาติเข้ามาและนี่อาจเป็นเหตุผลลึกๆว่าทำไมพระองค์จึงรู้สึกต่างเมื่ออยู่ใกล้ให้เธอเพราะเธอไม่เพียงสวมชุดสวยแต่ยังสวมความจริงใจไว้ในทุกการเคลื่อนไหวในทุกก้าวเดินของเธอมีจังหวะที่สอดคล้องกับผืนผ้าและลมหายใจกระโปรงไหมพริ้วเบาเหมือนสาย
น้ำที่ไหลอย่างมั่นคงแต่ไม่เร่งรีดดังบทกวีที่อ่านช้าๆแต่ทุกถ้อยคำกลับมีน้ำหนักนี่คือเสน่ห์ของสไตล์ที่ไม่ต้องแข่งขันกับใครแต่กลับอยู่เหนือกาลเวลาทาแฟชั่นของราชสำนักทั่วไปคือแสงแสงไฟที่เจิดจ้าสไตล์ของศรีรัตน์ก็เหมือนแสงเทียนที่อบอุ่นไม่แย่งพื้นที่แต่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายตาและอบอุ่นใจและอาจเป็นเพราะแสงเทียนนี้เองที่ทำให้หัวใจของพระมหาวชิราลงก่อนหนาในเวลานั้นอบอุ่นขึ้นอย่างไม่คาดคิดความสุภาพคือเครื่องประดับที่ไม่มี
วันล้าสมัยและทุกครั้งที่เธอปรากฏตัวศีรัตน์ก็ได้สวมเครื่องประดับชิ้นนั้นไม่ใช่บนลำคอหรือข้อมือแต่ในทุกการเคลื่อนไหวและรอยยิ้มผ้าไหมไทยในมือช่างทอไม่ได้เป็นเพียงผืนผ้าแต่เป็นบันทึกของภูมิปัญญาและหัวใจศรีรัตน์เลือกสวนใส่มันอย่างรู้คุณค่าไม่ว่าบนเวทีราชพิธีหรือในงานสาธารณะเธอมักให้พื้นที่แก่เนื้อผ้าและลวดลายที่บรรพชนได้ถ่ายทอดต่อกันมาสีทองอุ่นของไหมลายดอกพิกุลลายริ้วอ่อนที่สื่อถึงสายน้ำหรือแม้แต่สีครามเข้มของผ้า
ย้อมครามทุกเฉษสีและลวดลายล้วนมีความหมายเธอไม่ได้เพียงใส่ชุดไทยแต่ทำให้ชุดนั้นมีชีวิตผ่านการจับคู่กับทรงผมและเครื่องประดับที่กลมกลืนราวกับทุกองค์ประกอบถูกออกแบบให้บรรเลงเพลงเดียวกันและนี่เองคืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระมหาวชิราลงกอนหนาในเวลานั้นรู้สึกประทับใจเพราะศรีรัตน์ไม่ได้เพียงปฏิบัติตามขนบของราชสำนักเท่านั้นแต่เธอยังตีความประเพณีให้มีชีวิตร่วมกับยุคสมัยพระองค์เห็นในตัวเธอความสามารถที่จะทำให้สิ่งเก่าและ
สิ่งใหม่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนเหมือนเธอเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างความศักดิ์สิทธิ์ของราชประเพณีกับความทันสมัยที่เข้าถึงได้ในสายตาผู้คนชุดที่เธอสวมจึงไม่ใช่ของเก่าหากเป็นของมีชีวิตที่เดินเคียงข้างยุคสมัยมันทำให้คนรุ่นใหม่มองว่าการใส่ผ้าไทยไม่ใช่เรื่องทางการหรือโบราณเกินไปและสำหรับพระมหาวชชิราลงกรณ์นแล้วอาจเป็นเสน่ห์ลึกๆที่ยืนยันว่าเธอไม่เพียงเหมาะสมกับบทบาทในราชสำนักแต่ยังมีหัวใจที่เต้นไปพร้อมกับประชาชนของพระองค์ประเพณีไม่ใช่โซ่ตรวน
แต่คือรากที่ทำให้เรายืนหยัดได้ประโยคนี้เหมือนถูกถักทออยู่ในทุกชุดของศรีรัตน์และอาจเป็นอีกหนึ่งเส้นได้ที่ถักใจของพระมหาวชิราลงกรณ์นักเข้ากับเธออย่างแน่นแฟ้นท่ามกลางความเชื่อว่าราชสำนักต้องคู่กับความรู้ราวิจิตรศรีรัตน์กลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไปเธอแสดงให้เห็นว่าความงามที่แท้อาจอยู่ในความพอดีไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไปเครื่องประดับของเธอมักเป็นเพียงต่างหูมุกเรียบหรือเข็มเล็กๆที่แฝงความหมายไม่มีเพชรพลอยระยับเต็มตัวแต่กลับดึงดูดสาย
ตาด้วยความสะอาดตาและสมดุลการเลือกเครื่องประดับน้อยชิ้นไม่ใช่เพราะขาดโอกาสแต่เป็นเพราะเธอเข้าใจดีว่าแสงที่แท้จริงควรมาจากบุคลิกและแววตาไม่ใช่จากประกายของอัญญมณีสีที่เธอเลือกก็พูดได้เองขาวนวลครีมอบอุ่นเบ็ดอ่อนหรือพระเทวลมุนทุกโทนสีมีพลังสงบทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกผ่อนคลายและไว้ใจและเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนสีเหล่านี้ก็ทำให้เธอโดดเด่นอย่างเงียบๆเหมือนดอกไม้ที่บานกลางสวนโดยไม่ต้องแย่งแสงใครในงานที่ต้องพบพประชาชน
เธอมักเลือกผ้าที่นุ่มเบาและสวมใส่สบายนี่ไม่ใช่เพียงเรื่องรสนิยมแต่เป็นความใส่ใจเพื่อให้ตัวเองเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่และเพื่อให้คนรอบข้างรู้สึกว่าเธอเข้าถึงได้พอดีคือความหรูหรารูปแบบหนึ่งประโยคนี้สะท้อนผ่านทุกชุดที่ศรีรัตสวมและในโลกแฟชั่นที่มักแข่งขันกันสร้างความโดดเด่นเธอเลือกที่จะโดดเด่นด้วยความละมุนซึ่งยากกว่าและย่ายืนกวาดเสมอเมื่อชีวิตเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเสื้อผ้าของศรีรัตน์ก็เริ่มบอกเล่าเรื่อง
ราวใหม่จากชุดที่เคยมีลวดลายอ่อนหวานกลายเป็นโทนสีสุภาพเรียบและหนักแน่นขึ้นไม่ใช่เพราะเธอสูญเสียรสนิยมหากเพราะเธอเลือกใช้สีและรูปทรงเป็นภาษาของความเงียบเพื่อบอกเล่าความมั่นคงภายในใจในช่วงเวลาที่สังคมเฝ้ามองด้วยความสงสัยเธอสวมชุดที่ให้ความรู้สึกมั่นมั่นคงเหมือนกรอบป้องกันตัวเองจากกระแสภายนอกแต่ในขณะเดียวกันผืนผ้าเหล่านั้นก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนถึงความอ่อนโยนและความเป็นตัวตนที่แท้จริง4เท่าอบอุ่นน้ำตาลเข้มหรือ
ฟ้าอ่อนมนกลายเป็นโทนหลักที่เธอใช้เพื่อสื่อถึงทั้งความสงบและความแข็งแกร่งภาพของเธอในชุดผ้าใหม่สีหม่นกลางงานเล็กๆณชุมชนชนบทเป็นภาพที่หลายคนจดจำเพราะแม้ไม่สวมเครื่องประดับดับใดความงามของเธอก็ยังเปล่งประกายผ่านรอยยิ้มและแววตาที่มองตรงมาด้วยความเมตตาฤดูการที่เปลี่ยนทำให้ความหมายของสีเปลี่ยนเธอพิสูจน์ให้เห็นว่าความงามไม่ได้อยู่เพียงในช่วงรุ่งเรืองแม้ในยามเงียบงันอาภรก็ยังเป็นเพื่อนคู่ใจคอยโอบอุ้มทั้งหัวใจและศักดิ์
ศรีทุกครั้งที่ศรีรัตน์ลงพื้นที่เพื่อทำงานการกุศลหรือเยี่ยมเยียนชุมชนเธอมักปรากฏตัวในชุดที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้ผ้าฝ้ายพื้นเมืองผ้าไหมทอมือจากท้องถิ่นหรือเสื้อผ้าสีโทนอุ่นที่กลมกลืนกับบรรยากาศรอบตัวมันไม่ใช่เพียงเรื่องของความสบายในการสวมใส่แต่เป็นการส่งสัญญาณทางใจว่าเธอไม่วางตัวสูงส่งเกินเอื้อมในสายตาของชาวบ้านการที่สตรีจากราชสำนักเลือกนั่งบนเสื่อพื้นบ้านคุยกับพวกเขาในชุดเดียวกับที่คนในชุมชนสวมใส่คือการ
สร้างสะพานใจเธอใช้เสื้อผ้าเป็นภาษาที่ไร้คำพูดภาษาของความเท่าเทียมและการยอมรับและนี่คือสิ่งที่พระมหาวชิราลงกรณ์นเคยสังเกตเห็นตั้งแต่ครั้งแรกครั้งแรกที่ร่วมเสด็จพระองค์พบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงเข้าใจพิธีการแต่ยังเข้าใจหัวใจของประชาชนเธอสามารถทำให้ชาวบ้านหัวเราะได้อย่างจริงใจและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังคุยกับเพื่อนมากกว่าเจ้านายสำหรับพระองค์ความสามารถเช่นนี้คือคุณสมบัติอันล้ำค่าของผู้ที่จะยืนเคียงข้างกษัตริย์ไม่ใช่
เพียงคู่ครองแต่เป็นผู้ร่วมแบกรับหัวใจของแผ่นดินสิ่งที่เธอเลือกในโอกาสเหล่านี้ก็มักอ่อนโยนฟ้าครามของผ้าทอย้อมครามเขียวมนต์ของผ้าฝ้ายย้อมใบไม้หรือขาวนวลของผ้าฝ้ายดิบทุกเฉดสีสื่อถึงความสงบความอบอุ่นและความเป็นมิตรมันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขากำลังอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยและในใจของพระมหาวชิราลงปอนนะนั่นคือภาพของราชินีในหัวใจมีครั้งหนึ่งที่เธอสวมเสื้อผ้าพื้นเมืองสีอิฐร่วมลงมือปลูกต้นไม้กับเด็กๆในโรงเรียนภาพนั้นกลายเป็น
สัญลักษณ์ไม่ใช่เพราะความงามของเสื้อผ้าแต่เพราะความงามของการกระทำที่อยู่ข้างในความงามที่ทำให้ผู้อื่นสบายใจคือความงามที่แท้จริงและนั่นคือเหตุผลที่เสื้อผ้าของศรีรัตน์ไม่เคยเป็นเพียงเครื่องแต่งกายมันคือสายใยแห่งเมตตาที่ถักทรระหว่างหัวใจของเธอกับหัวใจของผู้คนรวมถึงหัวใจของกษัตริย์ที่ครั้งหนึ่งเคยหลงรักเธออย่างสุดหัวใจหากมองแฟชั่นของศรีรัตน์ผ่านสายตาของนักโหราศาสตร์เราจะเห็นว่ามันไม่ใช่แค่การเลือกสีหรือเนื้อผ้าแต่
เป็นการอ่านพลังในแต่ละช่วงชีวิตสีและเนื้อผ้ากลายเป็นเหมือนธาตุทั้ง4ดินน้ำลมไฟที่สะท้อนทั้งภาวะจิตใจและจังหวะชะตาในวันที่เธอสวมผ้าใหม่สีเขียวมรปรากฏอาจเป็นวันที่พลังแห่งดินครอบงำมั่นคงหนักแน่นพร้อมรับฟังในวันที่เธอสวมผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนอาจเป็นวันที่พลังแห่งน้ำพาให้หัวใจเปิดกว้างอ่อนโยนและเมื่อเธอเลือกสีแดงอมส้มคือวันที่พลังแห่งฟ้าปลูกความมั่นใจและความกล้าส่วนชุดสีขาวนวลคือการหันกลับไปหาพลังแห่งลมเบาสบายโปร่งใสพร้อม
เคลื่อนไหวอย่างอิสระว่ากันว่าช่วงที่พระมหาวชิราลงกรณ์และศรีรัตน์ใกล้ชิดกันมากที่สุดคือช่วงที่ทาสของทั้งสองคนเข้ากันอย่างประหลาดพระองค์มีพลังแห่งไฟและลมที่เด่นความกระตือรือร้นกล้าแสดงออกแต่ก็โหยหาความอิสระในขณะที่ศรีรัตน์นำพลังแห่งน้ำและดินเข้ามาสมดุลความอ่อนโยนความมั่นคงและความเข้าใจที่ลึกซึ้งเมื่อพลังเหล่านี้มาบรรจบกันมันเหมือนการพบจังหวะดนตรีที่ลงตัวและแฟชั่นของเธอก็เป็นเสมือนภาษาลับที่ถ่ายทอดความสมดุลนั้นให้คนรอบข้างได้
สัมผัสไม่ใช่แค่สวยแต่ยังสอดคล้องกับหัวใจของผู้ที่อยู่เคียงข้างดาวฤกษ์ไม่ได้บังคับเรามันเพียงส่องให้เราเห็นทางและในวันนั้นแสงดาวอาจไม่ได้เพียงส่องทางให้เธอกับพระองค์เดินมาด้วยกันแต่ยังทำให้ทั้งสองได้เห็นในกันและกันสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นและนั่นคือจุดเริ่มต้นของความผูกพันที่ลึกซึ้งแม้เวลาจะผ่านไปแต่เงาของสไตล์ศรีรัตน์ยังคงทอดยาวในความทรงจำของผู้คนภาพเธอในชุดใหม่สีอ่อนหรือผ้าทอมือพื้นบ้านไม่เพียงติดอยู่ในสายตาแต่ยัง
ซึมลึกในหัวใจของผู้ที่เคยได้เห็นดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยได้รับแรงบันดาลใจจากความเรียบงามและพอดีของเธอพวกเขานำผ้าไทยกลับมาสร้างสรรค์ในแบบร่วมสมัยเดรสยาวผ้าไหมที่ตัดเย็บด้วยเส้นเส้นสายโมเดิร์นเสื้อคลุมผ้าฝ้ายย้อมครามที่แมกกับรองเท้าสนีกเกอร์และทุกครั้งที่เทรนเหล่านี้เกิดขึ้นก็เหมือนเสียงกระซิบที่ย้ำว่าเธอเคยธรรมะก่อนแต่สำหรับพระมหาวชิราลงกรณ์หนในวันๆมรดกของเธอไม่ได้มีเพียงในโลกแฟชั่นมันคือแรงบันดาลใจที่พระองค์เคย
เก็บไว้ใกล้หัวใจแรงบันดาลใจจากผู้หญิงที่รู้จักสมดุลระหว่างความงามและความจริงใจผู้หญิงที่สามารถทำให้เครื่องแต่งกายกลายเป็นภาษาของความรักความเมตตาและการเคารพในรากเหง้าในสังคมไทยปรากฏการณ์ที่ผู้หญิงรุ่นใหม่เริ่มหันกลับมาสวมผ้าไทยไม่ใช่เพียงเพราะความงามของเนื้อผ้าแต่เพราะพวกเธอเห็นแบบอย่างว่าการใส่ผ้าไทยสามารถเป็นทั้งแฟชั่นและการแสดงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมและในความทรงจำของพระมหาวชิราลงกรณ์นะนี่คือภาพของสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยครอง
หัวใจของพระองค์อย่างสง่างามสิ่งงามที่แท้ยิ่งนานยิ่งใสและนี่คือมรดกที่เธอทิ้งไว้ไม่ใช่เพียงเสื้อผ้าหรือภาพถ่ายแต่คือเรื่องราวของความผูกพันที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้หัวใจของกษัตริย์เต้นแรงแม้กาลเวลาจะพัดผ่านเมื่อเราย้อนมองเส้นทางแฟชั่นของศรีรัตน์ภาพที่ปรากฏไม่ใช่เพียงการเลือกผืนผ้าหรือเครื่องประดับแต่เป็นการเดินทางที่เชื่อมความงามภายนอกกับความลึกซึ้งของจิตวิญญาณเธอสวมใส่เสื้อผ้าไม่ใช่เพื่อให้โลกจดจำรูปลักษณ์แต่เพื่อให้โลกจดจำความ
รู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อได้พบเจอทุกสิ่งที่เธอเลือกทุกรายที่เธอสวมคือถ้อยคำที่บรรจงร้อยเรียงโดยไม่ต้องออกเสียงเป็นถ้อยคำที่พูดถึงความเมตตาความพอดีและความภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเองและในความทรงจำส่วนตัวของพระมหาวชิราลงกณอาภรเหล่านี้คือภาพแทนของช่วงเวลาที่พระองค์ได้รู้จักความรักในรูปแบบที่อบอุ่นและจริงใจที่สุดเธอสอนเราว่าแฟชั่นไม่จำเป็นต้องเป็นการวิ่งตามฤดูกาลแต่สามารถเป็นการหยุดนิ่งเพื่อฟังหัวใจตนเองและเพื่อเคารพสิ่งที่
เรามีอยู่แล้วเพราะสุดท้ายความสง่างามที่แท้ไม่ได้วัดจากราคาเสื้อผ้าอากแต่วัดจากวิธีที่เราสวมมันด้วยหัวใจแบบไหนความงามจะคงอยู่ตราบใดที่หัวใจยังจำได้ว่าตนคือใครนี่คือถ้อยคำสุดท้ายที่เรื่องราวของศรีรัตน์ได้ฝากไว้ไม่ใช่เพียงในตู้เสื้อผ้าแต่ในใจของผู้ที่เคยชื่นชมเธอรวมถึงหัวใจของกษัตริย์ที่ครั้งหนึ่งเคยรักเธออย่างหมดหัวใจและแม้บทบาทของเธอในราชสำนักจะสิ้นสุดลงแต่บทบาทของเธอในความทรงจำไม่มีวันเลือนหายไ
